August 11, 2023
เราทุกคนทราบกันดีว่า “การวิ่ง” ถือเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง ห่างไกลโรคร้าย แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า การวิ่ง ยังสามารถเป็นส่วนช่วยบำบัด “จิตใจ” ของเราแข็งแกร่งได้มากขึ้น จากสภาวะความเครียดหรือปัญหาต่างๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่
เพราะในบทความนี้ เรามีเคล็ดลับดีๆ ที่จะมาเปลี่ยนทำให้การวิ่งออกกำลังกายธรรมดาของคุณ กลายเป็นเครื่องมือในการออกกำลังใจ ขัดเกลาสมาธิ ให้คุณมีสภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่ง พร้อมเผชิญกับทุกปัญหา
ผ่านการบอกเล่าของคุณดาว ดุจดาว วัฒนปกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดจิตด้วยการเคลื่อนไหว หนึ่งเดียวของประเทศไทย ซึ่งจะมีรายละเอียดและเคล็ดลับอย่างไรบ้าง ติดตามได้ที่บทความนี้ครับ >>
ออกกำลังกายไม่ต้องสาธยายว่าจำเป็นแค่ไหนต่อเรื่องของสุขภาพ ผู้คนให้ความสนใจกับมันมาหลายสิบปี จนตอนนี้แทบไม่มีใครโต้แย้งสิ่งนั้น แต่..ขอถามอีกคำถามว่า.. แล้วการออกกำลังใจล่ะ เป็นเรื่องจำเป็นแค่ไหน
หลายคนสงสัย..เอ๊ะ! ออกกำลังใจคืออะไร ไม่เห็นเคยได้ยิน หรือบางคนก็พอนึกได้ว่าเมื่อเราพูดถึงการทำงานกับจิตใจก็ต้องยกให้ผู้เชี่ยวชาญเช่น จิตแพทย์ นักจิตบำบัด นักจิตวิทยามาช่วยจัดการมันเท่านั้น ไม่จริง.. นักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหวคนนี้บอกเลยว่าการออกกำลังใจให้แข็งแรงเป็นเรื่องจำเป็นมากไม่แพ้การออกกำลังกาย และไม่จำเป็นที่ต้องรอให้ตัวเองลงทะเบียนเป็นคนไข้ก็สามารถออกกำลังใจตัวเองได้มากเท่าที่ต้องการ
การออกกำลังใจเป็นเรื่องที่ใครๆก็ทำได้เอง และหลายคนทำอยู่แล้วแต่อาจจะไม่รู้ตัว เพราะการออกกำลังกายแบบที่ทำปกติก็ถือว่าเป็นการสร้างความแข็งแรงต่อสุขภาพใจ มันส่งเสริมเรื่องของสภาวะใจอยู่แล้วโดยที่คุณไม่ต้องทำอะไร
มีงานวิจัยหลายฉบับยืนยันว่าการออกกำลังกายสม่ำเสมอลดภาวะซึมเศร้า เพิ่มฮอร์โมนความสุข นอนหลับมีคุณภาพขึ้น ความจำดีขึ้น ลดความกังวล คลี่คลายความเครียดสะสม เอาเป็นว่า...มันส่งเสริมสภาวะใจให้แข็งแรงแบบองค์รวมโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม และมันทำงานกับสิ่งที่เราควบคุมไม่ค่อยได้ เช่น ระบบฮอร์โมน ระบบการเผาผลาญ ระบบการไหลเวียนโลหิต เป็นต้น
แต่..ถ้าใครอยากเพิ่มทำ Mind Exercise หรือการออกกำลังใจกับสิ่งที่เราควบคุมพัฒนาได้อย่างเช่น ทักษะทางความคิด อารมณ์และสังคมต่างๆ ให้แข็งแกร่งไปเพิ่มไปพร้อมๆ กับการออกกำลังกาย บอกเลยว่าเราก็สามารถทำได้เหมือนกัน เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นเป็นได้มากกว่าเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและการลดน้ำหนักให้ได้ดั่งใจ
ในการทำจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวร่างกายมีประโยชน์ในการเรียกสิ่งที่ถูกเก็บเอาไว้ในกล้ามเนื้อและจิตใต้สำนึกกลับมาในห้วงปัจจุบัน เช่น ถ้าเราเรียนขับรถด้วยการฝึกขับ ร่างกายเราจะจำการขับรถจากความทรงจำของกล้ามเนื้อ และพอเราเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยรถเหมือนเดิม ความทรงจำนั้นก็กลับมาทำงานโดยที่เราไม่จำเป็นต้องพยายามคิดว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
หรือในเคสของบางคนที่เคยถูกผู้ปกครองกระชากข้อมือเพื่อให้รีบออกจากบ้านไปโรงเรียนบ่อยๆและสิ่งนั้นทำร้ายความรู้สึกของเขามาก พอโตขึ้นการโดนจับข้อมือเพียงเบาบางก็สามารถเรียกประสบการณ์นั้นกลับคืนมาได้ เป็นต้น
ร่างกายเป็นแหล่งรวมคำตอบที่สะสมมาจากประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน หลายๆครั้งคำตอบเหล่านั้นช่วยให้เข้าใจที่มาของความเครียด ความเสียใจ หรือความขัดแย้งในใจที่เกิดขึ้นในภาวะปัจจุบัน แต่..มันอาจถูกซ่อนไว้ในร่างกายส่วนที่ไม่ถูกเชื่อมโยงถึง
หรือหลายครั้งร่างกายเราอาจจะอยู่ในโหมดที่ไม่พร้อมให้เราเชื่อมต่อไปเจอคำตอบเหล่านั้น พอเราเคลื่อนไหวแบบอิสระไปในทิศทางที่ต่างออกไปจาก Routine เดิมๆ ที่ไม่ใช่แค่นั่ง ยืน เดิน นอนที่มักทำในแต่ละวัน มันก็จะช่วยให้การเชื่อมต่อภายในเราหลากหลาย และเข้าไปค้นเจอสิ่งที่ซ่อนอยู่มานานได้ เช่น จำเรื่องที่ลืมไปแล้วได้ นึกคำตอบที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อนได้ เห็นมุมมองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ฯลฯ
ในห้องจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหวทุกคนจะสามารถเข้าถึงกระบวนการนี้ได้ด้วยการนำพาไปของนักจิตบำบัด เริ่มต้นจากการวอร์มอัพร่างกาย และอนุญาตให้เคลื่อนไหวไปอย่างอิสระกับเรื่องในใจ จะยกแขน เตะขา หมุนตัว บีบกอดกลิ้งซ้ายขวาอย่างไรก็ได้ แล้วผู้เคลื่อนไหวก็แค่เฝ้ามองการเคลื่อนไหวเหล่านั้นของตัวเองไป เฝ้ามองอย่างไม่ตัดสิน มองมันมากกว่าการเป็นแค่การเคลื่อนไหวร่างกาย แต่คอยมองมันว่านี่คือการเคลื่อนไหวของจิตใจ
ใจคนเราอยู่ในร่างกาย ถ้าไม่ได้ฝึกวิทยายุทธมาจนแยกตัวแยกใจขาดจากกันได้ คุณภาพการเคลื่อนไหวในร่างกายบ่งบอกทุอย่างที่อยู่ในใจของคนคนนั้น ร่างกายอยู่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจิตใจของเรา ใจเราปรากฏตัวเด่นชัดอยู่ในการเคลื่อนไหวทุกท่วงท่า
แต่ว่าในชีวิตประจำวันเราไม่ได้มองมันเพราะเราโฟกัสแค่เลเยอร์ของฟังก์ชั่นของการกระทำ เลยไม่ได้เห็นความเป็นไปของจิตใจภายใต้ร่างกายที่เคลื่อนไหวอยู่ พอในห้องบำบัดที่ไม่มีท่าทางตายตัวให้ออกลีลา และไม่มีเป้าหมายของฟังก์ชั่นให้ไปทำ ทุกอย่างที่ปรากฏในการเคลื่อนไหวและทุกคุณภาพของการเคลื่อนไหวคือมีที่มาจากโลกภายในของเจ้าตัวทั้งนั้น
เพื่อการทำงานกับใจ.. นักจิตบำบัดจะชวนให้ผู้คนเคลื่อนไหวไปกับเรื่องที่มีในใจ เพื่อเราตามเท่าทันใจ และอยู่กับเรื่องที่ติดขัดในใจนานขึ้น จนร่างกายได้รับฟังเรื่องภายในใจและค้นเจอคำตอบหรือมุมมองใหม่ๆให้กับตัวเอง การเท่าทันใจก็ถือว่าได้ออกกำลังใจ การรับฟังร่างกายและการฝึกมองมุมใหม่ๆให้กับเรื่องที่ติดขัดเป็นกระบวนฝึกใจให้แข็งแรงเมื่อเจอกับทางตีบตัน
กระบวนการนี้ดีต่อสุขภาพใจ แต่เราต้องไปหานักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหวเพื่อจะทำไหม คำตอบคือไม่จำเป็น เราสามารถยืมกระบวนการเชื่อมต่อถึงจิตใจเราโดยผ่านการเคลื่อนไหวร่างกายมาใช้กับตัวเองได้ บางคนสบายใจจะเต้นอยู่ที่บ้านก็ได้ แต่หลายคนทำไม่ได้ก็อาศัยช่วงที่เราออกกำลังกายนี่แหละมาทำกระบวนการนี้ไปในตัว
การวิ่ง เป็นการออกกำลังที่สามารถใช้เป็น Platform การออกกำลังใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะกระบวนการไม่ซับซ้อน มีอุปกรณ์น้อยและไม่ต้องระแวดระวังอะไรภายนอกมาก ที่สำคัญเวลาเราวิ่ง ร่างกายหลายส่วนของเราเคลื่อนไหวสอดประสานกันและทำงานพร้อมๆ กัน
ทำให้เกิดการเชื่อมต่อข้อมูลภายในเกิดขึ้นได้มาก ดังนั้นการทำงานกับจิตใจโดยใช้การวิ่งเป็นตัวตั้งก็สามารถทำงานกับใจได้คล้ายๆ กับกระบวนการเคลื่อนไหวอย่างอิสระในห้องจิตบำบัดด้วยการเคลื่อนไหว แต่เราจะเริ่มทำมันได้ก็ต่อเมื่อเราเจรจากับร่างกายเราก่อนวิ่งดังนี้
หลายคนกังวลว่าเราจะวิ่งเป็นบ้าเป็นหลังกางแขนกางขาขนาดนั้นเลยหรือเปล่า คำตอบคือเปล่า คุณจะยังดูดีดูได้ไม่อายใครในสวนอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นหลังจากที่ตกลงใจว่าจะลองออกกำลังใจในคราบของการวิ่งกับตัวเองได้แล้ว ขั้นตอนที่ตามมามีดังนี้
เพราะฉะนั้น.. การวิ่งไปกับปัญหาเท่ากับการกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาที่แบกอยู่ การยอมให้ความรู้สึกที่ตัวเองไม่อยากมี (Unwanted Feelings) มีพื้นที่อยู่ในเนื้อในตัวเราก็เป็นสิ่งที่ Healthy มันจะเป็นก้าวแรกของการจัดการอารมณ์และรับมือกับปัญหาต่างๆในชีวิต มันเป็นการจัดการอารมณ์แบบ Healthy ดีกว่าการเอาอารมณ์เสียไปองตัวเองไปเหวี่ยงลงกับคนอื่นหรือพฤติกรรมทำร้ายตัวเองบางอย่าง
กระบวนการวิ่งไปกับความคิดจิตใจด้วยการคุยกับตัวเองแบบนี้ เราทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ และทำได้สนุกกว่าเพราะว่าไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาตัดสินอะไรกับความคิดความอ่านของเรา อยากเศร้า อยากโกรธ อยากสบถ ก็สามารถทำให้ระดับความดังที่ไม่ทำร้ายใคร เอาจริงๆ ทุกวันนี้ที่วิ่งๆ กันอยู่ก็เห็นคนอื่นๆ พูดกับตัวเองเบาๆ กันออกบ่อยไป เป็นเรื่องธรรมชาติ
หากเราวิ่งเพื่อเผชิญหน้ากับปัญหา และวิ่งให้ร่างกายเคลื่อนไหวเพื่อค้นหาทางออกให้ปัญหาแบบนี้ไปสักพัก มุมมองของเราที่มีต่อปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตจะเปลี่ยนไป เราจะเห็นปัญหาว่าเป็นเรื่องจัดการได้ แล้วเราจะไม่วิ่งหนีมันแต่เราจะวิ่งไปกับมัน แล้วเราจะค้นพบว่าวิ่งแล้วเกิดความเข้าใจในตัวเองเป็นยังไง
หากหนึ่งสัปดาห์แบ่งเวลาไปวิ่งสักสามครั้ง ลองเจียดเวลาสักสัปดาห์ละหนึ่งครั้งให้กับการวิ่งเพื่อเคลียร์ปัญหาและสิ่งที่คั่งค้างในจิตใจเพื่อออกกำลังใจ แล้วลองดูว่าสมดุลทางใจของคุณเปลี่ยนไปอย่างไร วิ่งไปเลย วิ่งยังไงก็ได้ อย่าห่วงฟอร์ม...
ดุจดาว วัฒนปกรณ์