5 ข้อแตกต่างระหว่าง Virtual Run VS Marathon

August 11, 2023

แม้ปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 จะยังไม่มีวี่แววลดลง ซึ่งมันทำให้หลายๆ คนคงคิดถึงการวิ่งมาราธอนและการฝึกซ้อมวิ่งในสถานที่ต่างๆ แต่ในปัจจุบันนั้นเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีรูปแบบใหม่นั่นคือ ‘Virtual run’

Virtual run คืออะไร ทำไมถึงเป็นการวิ่งที่น่าสนใจ?

Virtual run คือการวิ่งรูปแบบใหม่ ที่นำเอางานมาราธอนเข้ามาสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะเมื่อก่อนการที่เราจะแข่งขันวิ่งมาราธอนสักงาน เราต้องสมัครวิ่งในบางครั้งก็อาจจะสมัครไม่ทัน และยังมีเรื่องของการเดินทางเพื่อไปยังงานวิ่ง อีกทั้งยังต้องเสี่ยงในสถานที่ที่มีคนเยอะ และสถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่สามารถจัดงานมาราธอนขึ้นได้ แต่ Virtual run สามารถย้ายงานมาราธอนเข้ามาสู่แพลตฟอร์มออนไลน์แทน แต่มีปรับเปลี่ยนกติกาไปบ้าง แต่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือเส้นชัย

ซึ่ง Virtual run นั้นเป็นการวิ่งแบบสะสมระยะทาง ที่สามารถวิ่งเมื่อไหร่ ที่ไหนก็ได้ อีกทั้งนักวิ่งยังสามารถเลือกกำหนดเส้นทางวิ่งเองได้ เช่น วิ่งรอบหมู่บ้าน วิ่งในสวนสาธารณะหรือแม้แต่วิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้าก็ได้เช่นเดียวกัน และยังสามารถรับเสื้อและเหรียญรางวัลเหมือนกับงานมาราธอนเพียงคุณวิ่งจนจบการแข่งขันนั้นสำเร็จ

แต่สิ่งที่จะมาสร้างความสนุกและท้าทายให้แก่การวิ่ง Virtual run นั้น คือ ‘Challenge’ เพราะบนแพลตฟอร์ม Virtual run จะมีรูปแบบการจัดอันดับการแข่งขัน ที่สามารถแข่งขันกับคนบนแพลตฟอร์มหรือเพื่อนๆ ของผู้วิ่งได้ โดยการจัดอันดับนั้นจะแข่งขันจากระยะทางสะสมและระยะเวลาเฉลี่ยในการวิ่งซึ่งถือเป็นการกระตุ้นทำให้ผู้วิ่งรู้สึกอยากแข่งขันเอาชนะมากขึ้นและเป็นการฝึกซ้อมอีกแบบหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยทำให้ประสิทธิภาพการวิ่งนั้นดีขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม Virtual run และ Marathon นั้นยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งมีดังนี้

5 ข้อแตกต่างระหว่าง Virtual run VS Marathon

1.ความสะดวกสำหรับผู้วิ่ง

ความสะดวกของผู้วิ่งนั้น สำหรับ Virtual run ผู้วิ่งไม่จำเป็นต้องตื่นหรือรีบไปยังหน้างาน เพราะ Virtual run สามารถวิ่งเมื่อไหร่ที่ไหนก็ได้ สะดวกเมื่อไหร่ เพียงเข้าแอปก็สามารถเริ่มวิ่งได้เลย หรือถ้าต้องการพักก็สามารถหยุดการวิ่งแล้วส่งผลมายังแอปได้เลย แต่สำหรับงานมาราธอนนั้นผู้วิ่งจะต้องตื่นเพื่อเตรียมไปยังงาน และต้องเตรียมการหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการหาสถานที่จอดรถ การเตรียมตัวก่อนจะเริ่มวิ่ง หรือในบางงานก็จำเป็นต้องมาเพื่อรับของรางวัลที่หน้างาน

2.ความยืดหยุ่น

ในเรื่องของความยืดหยุ่น Virtual run ไม่จำเป็นต้องวิ่งให้จบภายในครั้งเดียว สามารถทยอยวิ่งได้ตามที่ผู้วิ่งสะดวก สามารถส่งผลได้เรื่อยๆ จนกว่ากิจกรรมที่ลงสมัครไปนั้นสิ้นสุดลง แต่งานมาราธอนนั้นมีตัวเลือกให้แค่ 2 ทางคือ Finish วิ่งจนถึงเส้นชัย หรือ DNF (Did not finish) ไม่สามารถวิ่งจนถึงเส้นชัยได้  ไม่ว่าจะด้วยอาการบาดเจ็บจนไม่ไหวหรือเหนื่อยจนวิ่งไม่ถึงเส้นชัยนั่นเอง

3.บรรยากาศในการวิ่ง

บรรยากาศในการวิ่ง งานมาราธอนจะได้บรรยากาศการวิ่งที่ดีกว่าเพราะสามารถพบปะผู้วิ่งคนอื่นๆ ในงาน สถานที่วิ่งจริงที่หลายล้อมไปด้วยผู้คนค่อยให้กำลังใจเกือบตลอดทางจนไปถึงจุดเส้นชัย ซึ่ง Virtual run จะไม่ได้บรรยากาศเช่นนี้ แต่ยังมีข้อดีอื่นๆ อีกเพราะ Virtual run จะทำให้การวิ่งนั้นสะดวกมากขี้น เพราะมันสามารถวิ่งรอบหมู่บ้าน คอนโด สวนสาธารณะหรือวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้าได้เช่นเดียว ซึ่งก็จะเป็นบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง แต่อีกสิ่งหนึ่งสำหรับการวิ่ง Virtual run คือเราจำเป็นต้องอาศัยความมีวินัยในการวิ่งเพื่อให้จบ Challenge นั้นๆ อีกด้วย

4.ของรางวัล

สำหรับของรางวัลทั้งเสื้อและเหรียญรางวัล Virtual run และงานมาราธอนสามารถได้ของรางวัลเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันเพียงเรื่องของเวลา สำหรับ Virtual run นั้นผู้วิ่งจำเป็นต้องวิ่งให้จบการแข่งขันถึงจะได้เสื้อและเหรียญรางวัล และต้องรอระยะเวลาในการจัดส่งที่อาจจะใช้เวลามากกว่างานมาราธอน เพราะงานมาราธอนสามารถรับของรางวัลได้ทันทีเมื่อถึงยังหน้างาน

5.การลงทะเบียน

Virtual run สามารถลงทะเบียนได้เรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเขตรับสมัครของ Challenge นั้นๆ และยังสามารถรองรับผู้วิ่งได้จำนวนมากๆ ไม่จำกัดจำนวนผู้เล่น ในขณะที่งานมาราธอนเปิดรับสมัครเพียงชั่วครู่ก็เต็มจำนวนแล้ว ส่งผลให้ผู้ที่ต้องการวิ่งงานนั้นๆ ไม่สามารถเข้าร่วมได้ เพราะในบางงานมาราธอนจำเป็นต้องจำกัดจำนวนผู้วิ่งเพื่อให้พอดีกับสถานที่จัดเตรียมงานไว้

สำหรับผู้วิ่งที่อยากเปิดประสบการณ์การวิ่งรูปแบบใหม่อย่าง Virtual run นั้น สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “WIRTUAL” เพื่อลองเล่นชาเลนจ์ต่างๆ ได้ มีทั้งสมัครฟรีและเสียค่าสมัคร อีกทั้งยังส่งผลการวิ่งแบบ Real-Time ผ่าน 4 แอปอย่าง Strava, Garmin, Fitbit และ Suunto  ผู้วิ่งท่านไหนสนใจสามารถอ่านรายละเอียดชาเลนจ์ได้ทาง >> Challenge

สรุปทั้งหมด

ในเรื่องของการวิ่งนั้น ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงไม่ใช่ทั้งหมดของการวิ่ง เพราะการวิ่งแต่ละแบบก็ย่อมมีข้อดีในแบบของมัน ซึ่งจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้วิ่งต่างกันอย่างไร ก็อยู่ที่ว่า ตัวผู้วิ่งเองชอบที่จะวิ่งแบบไหน เลือกการวิ่งที่เหมาะกับตัวเราถือว่าดีที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งแบบไหน ก็ล้วนแต่ทำให้สุขภาพร่างกายของเรานั้นแข็งแรง ขอเพียงแค่ตัวเรามีวินัยในการฝึกซ้อม เพราะการวิ่งไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ย่อมต้องอาศัยเวลาในการฝึกซ้อมทั้งหมด แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เราจะได้กลับมาคือสุขภาพที่ดีอย่างแน่นอน