วิธีเปลี่ยนจากคนหนัก 100 กิโลกรัมเป็นนักวิ่ง 100 กิโลเมตร "บันทึกจากเรื่องราวจริง ที่ไม่ว่าใครก็ทำตามได้ถ้าได้รู้เคล็ดลับในบทความนี้

August 11, 2023

ตอนไหนถึงรู้ว่า นี่คือ...

เวลาที่เราควรจะเริ่มหันมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ?

จากวินาทีเฉียดความตายในวันนั้น สู่การเริ่มเปลี่ยนตัวเอง...

สำหรับผมที่เคยมีร่างกาย น้ำหนัก 100 กิโลกรัม เคยเป็นโรค NCD ความดัน เบาหวาน ไต ไขมันเกาะตับ ซึ่งในช่วงที่เป็นโรคเหล่านี้ร่างกายยังไม่มีอาการป่วยรุนแรงอะไร ยังสามารถใช้ชีวิตได้ค่อนข้างปกติ ไปไหนมาไหนได้ แต่แค่เดินขึ้นบันไดเมื่อไหร่จะรู้สึกเหนื่อย หายใจไม่ทัน เหมือนกับอาการของโรคถูกซ่อนอยู่ 

ทำให้ผมใช้ชีวิตประมาท ไม่ออกกำลังกาย ไม่ควบคุมอาหาร จนมาถึงวันหนึ่งที่ผมได้ประสบอุบัติเหตุล้มในห้องน้ำฟาดกับชักโครก เหตุเกิดหลังจากปัสสาวะเสร็จ กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำ ผมล้มลงแบบทิ้งทั้งร่าง เหมือนกับต้นไม้ที่ถูกขวานฟันแล้วล้มตามแรงโน้มถ่วงของโลก และหมดสติทันที

ในความจำของผมที่จำความได้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองล้มบนฟูกนุ่มๆ หลับสบายๆ แต่ในความเป็นจริงคือ หน้าผมล้มลงบนพื้นแข็งๆ เลือดไหลจากการกระแทกอย่างแรง และไม่รู้สึกตัวอีกเลย

คืนนั้นแฟนพาผมไปส่งโรงพยาบาลเข้ารักษาฉุกเฉินทันที จากสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ผมรับรู้ได้ว่าผมโชคดีที่ไม่เสียชีวิต และได้มาทบทวนการใช้ชีวิตของตัวเอง ที่ผ่านมาผมทำงานหาแต่เงิน ไม่ดูแลสุขภาพ ตอนนี้ผมบอกกับตัวเองว่าทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ไม่มีค่าพอจะเทียบเท่ากับสุขภาพของตัวเองได้เลย ผมได้แต่บอกตัวเองว่าขอโอกาสอีกสักครั้งที่ลุกจากเตียงนี้ให้ได้ แล้วผมจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ซึ่งในตอนนั้นยังคิดไม่ออกว่าตัวเองจะทำอะไรเพื่อทำให้สุขภาพดีขึ้น ทักษะกีฬาใดๆ ก็ไม่มี  คิดไปคิดมาตัวเองคงจะเริ่มจากการออกกำลังกายจากกีฬาที่ง่ายๆ ก็เลยเลือกดูแลสุขภาพด้วยการวิ่ง ที่เลือกวิ่งเพราะว่าเป็นกีฬาที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์นอกจากรองเท้า และทักษะสูงมากนัก มองว่าถ้าเราเดินได้ก็น่าจะวิ่งได้สิ 

วินัย อดทน ความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง คือหัวใจสำคัญในการออกกำลังกายของผม

ในการวิ่งครั้งแรกของผม เริ่มขึ้นหลังออกจากโรงพยาบาลไม่นาน ผมตัดสินใจออกไปวิ่งที่สวนรถไฟ โดยใส่รองเท้าผ้าใบลำลองและเสื้อยืดธรรมดา กับกางเกงขาสั้นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ในวันแรกกับน้ำหนักตัวราว 100 กก วิ่งได้ก็แค่ 400 เมตรแล้วไปต่อไม่ไหวซะแล้ว แต่บอกตัวเองว่าจะไปใหม่ 

วันต่อมาอาการบาดเจ็บต่างๆ ก็เริ่มตามมา เพราะผมไม่เคยได้ออกกำลังกายเลย ปวดขามากแต่ก็ต้องฝืนร่างกาย ออกไปวิ่งซ้ำต่อ ผมทำแบบนี้ทุกๆ วันจนวิ่งได้ระยะทางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขาที่เคยปวดหลังการวิ่งก็เริ่มปวดน้อยลง จากที่เคยวิ่งได้ช้า ก็วิ่งได้เร็วขึ้น ระบบหายใจที่เคยหอบ ก็เริ่มจะหายใจได้เหมือนปกติมากขึ้น 

ผมวิ่งทุกวัน และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากวันละ 3 กม เป็น 6 กม และเพิ่มเป็น 10 กม การเพิ่มระยะการวิ่งแต่ละครั้งผมจะรู้สึกท้อทุกครั้ง เพราะมันต้องเหนื่อยขึ้น แต่ต้องอดทนที่จะทำเพื่อเป้าหมายใหญ่คือสุขภาพ ผมจึงอดทนวิ่งต่อเนื่องและสม่ำเสมอทุกๆ วัน 

โดยผมเองก็ไม่รู้และไม่ได้คิดไว้ก่อนเลยว่ามันคือการค่อยๆ พัฒนากล้ามเนื้อของร่างกายและระบบการหายใจให้แข็งแรงมากขึ้น ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นหัวใจสำคัญของการวิ่ง และผมก็วิ่งแบบนี้มาโดยตลอด จนร่างกายมีความเคยชิน กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ความเบื่อในการวิ่งก็ลดลง 

ประกอบกับช่วงหลังผมได้ลองเริ่มควบคุมอาหารด้วย โรคร้ายต่างๆ ที่เกิดจากภาวะความอ้วนของร่างกายก็เริ่มหาย ทั้งเบาหวาน ความดัน และไต และการวิ่งในแต่ละครั้งความเหนื่อยก็ลดลง ผมมีความสุขและรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้ออกไปวิ่ง

เคล็ดลับอะไร ที่ผมใช้ฝึกความทนทานในการวิ่งและได้ร่างกายที่ดีกลับมา ?

ในการฝึกวิ่งของผม ส่วนใหญ่ผมจะใช้ความเร็วไม่มากนัก ประมาณ Pace 5-8 และค่อยๆ เพิ่มระยะจากวันละ 4 กิโลเมตร เป็น 5, 6, 8, 10, 15, 20 กิโลเมตร จนถึงปัจจุบันผมวิ่งอยู่วันละ 30 กิโลเมตร ทุกวัน

ถ้าถามว่า การซ้อมแบบนี้ทำให้เจ็บขา ปวดเข่าบ้างไหม ต้องบอกว่า ในช่วงแรกๆ ของการเริ่มวิ่ง หัวเข่าทั้ง 2 ข้างนี้ ต้องรับน้ำหนักที่หนักถึง 100 กก มันต้องเจ็บปวดบ้างเป็นธรรมดา แต่เมื่อเราวิ่งอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการคุมอาหาร ไม่ทานอาหารมากกว่าที่ทานตามปกติ คือ กินตามปกติ + วิ่งด้วย ยังไงน้ำหนักก็ลง 

ยิ่งถ้าเรากินน้อยลงอีก ควบคุมโภชนาการให้ดีขึ้น น้ำหนักตัวจะลงเร็วมาก เมื่อน้ำหนักเริ่มลดลง กระดูกที่เข่าก็จะรับน้ำหนักที่ลดลงเช่นเดียวกัน และเข่าจะยิ่งแข็งแรงขึ้น เพราะเป็นเข่าเดียวกันกับที่เคยรับน้ำหนัก 100 กก ส่งผลให้ปัญหาเจ็บเข่าของผม ก็ลดลงเช่นเดียวกัน และในส่วนของน้ำหนัก จาก 100 กก ก็ลงมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันน้ำหนัก อยู่ที่ 55 กก 

จากซ้อมูลแบบที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ผลลัพธ์ที่ได้กับตัวเอง และนำมาใช้เพื่อการวิ่งมาราธอน คือ

1. ระบบ Endurance ของร่างกายดีขึ้นมาก วิ่งได้ไกลมากขึ้น

2. ระบบ Recovery ของร่างกายจะฟื้นตัวเร็วมาก เนื่องจากเราซ้อมเช้า ซ้อมเย็น ฝึกให้ร่างกายพักไม่นานแล้ววิ่งต่อ

3. ได้ความเคยชินกับการวิ่งที่ใช้เวลานานและระยะทางไกล เช่น ระยะมาราธอน 42 กม โดยถ้าเราวิ่งผ่านระยะ 12 กม เหลือระยะทางอีก 30 กม กำลังใจจะมา ซึ่งใจและร่างกายจะรับรู้ได้ว่า เหลือระยะไม่ไกลแล้ว เหมือนการซ้อมต่อวันที่เราทำอยู่ทุกวัน

4. จิตใจแข็งแกร่งขึ้นเพราะต้องต่อสู้กับระยะทางที่วิ่งทุกวัน

5. ได้ความเร็วในการวิ่งที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากกล้ามเนื้อ ระบบหายใจ และ Endurance ของร่างกายพัฒนามากขึ้น

จุดเปลี่ยนอะไร ที่ทำให้ผมเข้าสู่การแข่งขันมาราธอนระดับโลกมากกว่า 10 รายการ ?

สำหรับตัวเองเมื่อตอนที่น้ำหนักตัว 100 กก ไม่เคยแม้แต่จะคิด ถึงเรื่อง World Marathon Major, Ultra Marathon 100 km ไม่รู้จักด้วยซ้ำไปครับ ตอนนั้นตั้งใจแค่วิ่งเพื่อให้หายจากโรคต่างๆ เพราะไม่อยากกินยา ผมเลยต้องทำ สร้างวินัยให้ตัวเองวิ่งทุกวันจะมากน้อยไม่เป็นไร ร่างกายก็ค่อยๆ พัฒนาได้จนถึงปัจจุบัน 

จากนั้นผมเลยลองสมัครการแข่งขันวิ่งมาราธอน ตั้งแต่งานเล็กๆ ในประเทศเพื่อเป็นการเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ และค่อยๆ เพิ่มความท้าทายด้วยการลองไปแข่งขันมาราธอนตามต่างประเทศ จนถึงวันนี้ ผมดีใจมากที่ตัวเองสามารถจบ 6 World Marathon Major รายการวิ่งระดับโลก ที่เป็นความฝันของนักวิ่งมาราธอนทุกคนได้สำเร็จ!

โดยนอกเหนือจากรายการ 6 World Marathon ก็ยังมีรายการแข่งขันอื่นๆ จากทั่วโลกที่ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมและรู้สึกประทับประทับใจ ดังนี้ครับ

Tokyo Marathon 2017                  3:20

Berin   Marathon 2017                  3:15

New York City Marathon 2017      3:37

Boston Marathon 2018                3:44

London Marathon 2018               3:26

Chicago Marathon 2018               3:33

North Face 100 km

Hongkong  100 km

CM6.                140 km

UTMB CCC. 100 km

Bangsean         100 km

Wacoa 100.  100 km

Saroma100.  100 km

Ultra Suan Rod Fai 100 km


ซึ่งคุณเองก็สามารถทำแบบผมได้ครับ ขอแค่มีความเชื่อมั่นครับ ความมีวินัย สามารถเปลี่ยนแปลงและสร้างความสำเร็จ​ได้จริงๆ เป้าหมายในการวิ่งมาราธอนที่คุณตั้งไว้ ก็จะไม่ใช่เพียงความฝันอีกต่อไป

ไม่ใช่แค่ได้สุขภาพ แต่ยังมีประโยชน์อื่นๆ ที่ผมได้จากการเริ่มวิ่งมาราธอน !

ผมอยากขอเพิ่มเติมในส่วนของผลดีข้างเคียง ที่ผมได้รับจากการวิ่ง มีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น

1. ช่วยลดน้ำหนักของผม จาก 100 kg เหลือ 55 kg

2. ความดันโลหิตลดลง หัวใจเต้นช้าลง ไขมันลดลง ผลตรวจสุขภาพทุกๆ รายการตอนนี้ดีขึ้นหมด

3. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการหาหมอ ซึ่งหลังจากผมวิ่งอย่างต่อเนื่อง ผมไม่ค่อยได้ไปหาหมอเลย เป็นอะไรก็กินยา "วิ่ง" ตลอด ไข้หวัด เจ็บคอ ปวดท้อง แก้ได้หมด

4. ได้ชีวิตใหม่ เสื้อผ้า กางเกง โละทิ้งหมด เสื้อจาก XXL เหลือ size S, กางเกงจาก เอว 39 เหลือ 29

5. ที่สำคัญผมได้มิตรภาพและเพื่อนใหม่ดีๆ ในวงการวิ่ง

6. ได้เป็นคนที่มีวินัยมากขึ้น

7. ไม่มีคนเรียกว่า "ไอ้อ้วน" อีกต่อไป

8. ผมกลายเป็นคนที่มีจิตใจแจ่มใส มีความคิดบวก มองโลกในแง่ดี ใจเย็น ไม่มีอาการซึมเศร้า

9. มีโอกาสได้แบ่งปันพลังงานดีๆ สร้างแรงบันดาลใจให้คนมาวิ่งออกกำลังกาย

10. มีความสุขในการใช้ชีวิต 

สรุปทั้งหมด

ผมขอยืนยันอีกครั้ง สำหรับทุกคนที่อ้วน สุขภาพไม่ดี อยากลดน้ำหนัก อยากวิ่งมาราธอน อยากแข็งแรง อยากได้ร่างกายใหม่ ที่ปราศจากโรค ผมเชื่อครับว่าไม่ว่าใครสามารถทำได้ ขอเพียงแค่มีสิ่งเหล่านี้ครับ

1.มีความตั้งใจจริง

2.มีความอดทน

3.มีวินัย (ข้อนี้สำคัญที่สุด)

สุดท้ายจงเตือนตัวเองไว้เสมอครับว่า อย่ามีข้ออ้างเรื่องไม่มีเวลาออกกำลังกาย เพราะทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน ถ้าเรามีเวลากินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน เราก็ต้องมีเวลาออกกำลังกายเช่นกัน เพราะขนาด(อดีต) คนอ้วนน้ำหนัก 100 กิโลกรัมอย่างผมทำได้ คุณก็ต้องทำได้ครับ!